ไส้กรองน้ำควรเปลี่ยนทุก ๆ กี่เดือน? คำถามนี้สำคัญกว่าที่คุณคิด หลายคนมักมองข้ามจนกระทั่งน้ำดื่มเริ่มมีรสชาติแปลกไป หรือเห็นตะกอนปนเปื้อน จริง ๆ แล้วเราไม่ควรรอให้น้ำสกปรกจนสังเกตเห็นได้ถึงจะเปลี่ยน ดังนั้นการรู้ถึงสัญญาณและปัจจัยที่ทำให้อายุไส้กรองสั้นลง จะช่วยให้คุณบริหารช่วงเวลาในการเปลี่ยนไส้กรองได้อย่างเหมาะสม และทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำที่ดื่มนั้นจะยังคงสะอาดและปลอดภัยอยู่เสมอ
ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานของไส้กรองน้ำ
เพื่อให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดไส้กรองน้ำจึงมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของไส้กรอง ลองมาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง?
1. คุณภาพน้ำประปา
คุณภาพของน้ำประปาในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันอย่างมาก หากน้ำประปาที่คุณใช้อยู่มีสิ่งปนเปื้อน เช่น ตะกอน สนิม คลอรีนสูง สารเคมี หรือหินปูนในปริมาณมาก ไส้กรองน้ำก็จะทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ นั่นหมายความว่าคุณอาจจะต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยขึ้นกว่าที่แนะนำ
2. ปริมาณการใช้น้ำ
บ้านที่มีสมาชิกจำนวนมากหรือมีการใช้น้ำผ่านเครื่องกรองน้ำในปริมาณที่สูงมากในแต่ละวัน เช่น ใช้สำหรับการดื่ม ทำอาหาร หรือแม้แต่การล้างผักผลไม้ ก็จะทำให้ไส้กรองทำงานอย่างต่อเนื่องและหมดอายุเร็วขึ้นตามไปด้วย ยิ่งมีการใช้น้ำมากเท่าไหร่ ไส้กรองก็ยิ่งต้องรับภาระมากและเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น
3. ชนิดของไส้กรอง
ไส้กรองน้ำมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและอายุการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไส้กรอง PP (Sediment) มีอายุการใช้งานสั้นกว่าไส้กรอง Carbon หรือไส้กรอง Membrane (RO) ที่มีประสิทธิภาพในการกรองสูงกว่าและมีอายุการใช้งานนานกว่า แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน ดังนั้นการเลือกใช้ไส้กรองที่เหมาะสมกับสภาพน้ำและการใช้งานก็จะช่วยยืดอายุไส้กรองและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้
ทำไมต้องเปลี่ยนไส้กรองน้ำตามกำหนด?
การเปลี่ยนไส้กรองน้ำตามกำหนดไม่ได้เป็นเพียงแค่คำแนะนำ แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้คุณได้ดื่มน้ำที่สะอาดและปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และนี่คือ 4 เหตุผลสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามการเปลี่ยนไส้กรองน้ำ
1. ประสิทธิภาพการกรองลดลง
เมื่อไส้กรองใช้งานไปสักพัก สิ่งสกปรกและสารปนเปื้อนจะเริ่มสะสมอยู่ภายใน ทำให้รูพรุนของไส้กรองอุดตันและลดประสิทธิภาพในการกรองลง น้ำที่ผ่านการกรองอาจไม่สะอาดเท่าที่ควร ทำให้คุณได้รับสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว
2. แหล่งสะสมของเชื้อโรค
ไส้กรองที่หมดอายุและไม่ได้รับการเปลี่ยนตามกำหนด อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แทนที่จะกรองสิ่งสกปรกออกไป มันอาจกลับกลายเป็นตัวปล่อยเชื้อโรคออกมาสู่ระบบน้ำ ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้
3. รสชาติและกลิ่นของน้ำเปลี่ยนไป
ไส้กรองที่เสื่อมสภาพจะไม่สามารถกำจัดสารที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีจุดสังเกต คือ หากไส้กรองเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ คุณจะเริ่มสังเกตได้ว่าน้ำที่ดื่มมีรสชาติแปลก ๆ หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นคลอรีน หรือกลิ่นอับ ซึ่งบ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไส้กรองแล้วนั่นเอง
4. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองน้ำ
การเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนดจะช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องกรองน้ำโดยรวม เพราะหากเมื่อไส้กรองอุดตัน เครื่องก็จะทำงานหนักขึ้นเพื่อดันน้ำผ่าน ซึ่งอาจทำให้ปั๊มหรือส่วนประกอบอื่น ๆ ของเครื่องกรองน้ำเสียหายได้ ดังนั้นการดูแลไส้กรองให้ดีจึงเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองน้ำของคุณในระยะยาว
ไส้กรองน้ำแต่ละชนิด ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?
การทราบอายุการใช้งานของไส้กรองแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการบำรุงรักษาและเปลี่ยนไส้กรองได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องกรองน้ำจะทำงานเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ
- ไส้กรอง Sediment หรือไส้กรองหยาบ (PP Filter)
ไส้กรองชนิดนี้เป็นด่านแรกในการกรองสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ เช่น ตะกอน ทราย สนิม โคลน และฝุ่นละอองที่มากับน้ำดิบ หากไม่เปลี่ยนตามกำหนด ไส้กรองจะอุดตัน ทำให้แรงดันน้ำลดลง และส่งผลให้ไส้กรองตัวถัดไปทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 3-6 เดือน
- ไส้กรอง Carbon (Carbon Block หรือ Granular Activated Carbon)
ไส้กรองคาร์บอนทำหน้าที่ดูดซับสารเคมี กลิ่น สี คลอรีน และสารอินทรีย์ต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนมากับน้ำ หากใช้ไปนาน ๆ ความสามารถในการดูดซับจะลดลง ทำให้ยังคงมีกลิ่นหรือรสชาติไม่พึงประสงค์ในน้ำดื่ม และอาจมีสารเคมีหลงเหลืออยู่ จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 6-12 เดือน
- ไส้กรอง UF เมมเบรน (UF Membrane Filter)
ไส้กรอง UF มีความละเอียดในการกรองสูง สามารถกรองแบคทีเรีย ไวรัสขนาดใหญ่ สารแขวนลอย และสิ่งสกปรกขนาดเล็กได้ดีเยี่ยม แต่ยังคงแร่ธาตุในน้ำไว้ได้ เมื่อถึงกำหนดที่ไส้กรองชนิดนี้เสื่อมก็จะเกิดการอุดตันเช่นกัน ทำให้การไหลของน้ำช้าลงและประสิทธิภาพการกรองลดลง จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 12-18 เดือน
- ไส้กรอง RO เมมเบรน (RO Membrane Filter)
ไส้กรอง RO เป็นหัวใจหลักของระบบกรองน้ำ RO ซึ่งมีความละเอียดในการกรองสูงที่สุด สามารถกำจัดสารแขวนลอย สารเคมี โลหะหนัก แบคทีเรีย ไวรัส และสิ่งปนเปื้อนเกือบทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไส้กรองเสื่อมสภาพ จะทำให้คุณภาพน้ำลดลงและมีสารปนเปื้อนหลุดรอดได้ จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 1-3 ปี
- ไส้กรอง Post Carbon (Activated Carbon Filter)
ไส้กรอง Post Carbon มักเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการกรองน้ำ ทำหน้าที่ปรับปรุงรสชาติ กลิ่น และความใสของน้ำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ก่อนนำไปดื่ม หากไม่เปลี่ยนตามกำหนด น้ำอาจมีกลิ่นหรือรสชาติที่ไม่พึงประสงค์กลับมา จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 12-18 เดือน
- ไส้กรองเรซิน (Resin Filter)
ไส้กรองเรซินมีคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนประจุ เพื่อกำจัดหินปูน (ความกระด้างของน้ำ) และโลหะหนักบางชนิด หากใช้ไปนาน ๆ ความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุจะลดลง ทำให้น้ำยังคงมีความกระด้างอยู่ จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 6-12 เดือน (หรือตามปริมาณการใช้งาน)
- ไส้กรองเซรามิก (Ceramic Filter)
ไส้กรองเซรามิกสามารถกรองตะกอน สนิม แบคทีเรีย และสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ได้ดีเยี่ยม สำหรับผิวของไส้กรองชนิดนี้สามารถขัดทำความสะอาดได้ แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ รูพรุนอาจอุดตันถาวรหรือแตกร้าว ทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลง จึงควรเปลี่ยนทุก ๆ 6-12 เดือน หรือทำความสะอาดเมื่อพบว่ามีคราบสกปรก
- ไส้กรองยูวี หรือระบบฆ่าเชื้อ (UV Lamp/Sterilizer)
เป็นระบบฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี ไม่ได้เป็นการกรอง แต่เป็นการฆ่าเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ด้วยแสง UV หากหลอด UV เสื่อมสภาพหรือไม่เปลี่ยนตามกำหนด จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคจะลดลง ทำให้มีโอกาสที่เชื้อโรคจะหลุดรอดมากับน้ำได้ จึงควรเปลี่ยนหลอด UV ทุก ๆ 12 เดือน (หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต)
สังเกตอย่างไรว่าควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำ ?
การสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองน้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณและครอบครัวจะยังคงได้รับน้ำที่สะอาดและปลอดภัยอยู่เสมอ ซึ่งหากไส้กรองเริ่มเสื่อม จะแสดงสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่
- รสชาติและกลิ่นของน้ำเปลี่ยนไป เช่น มีรสคลอรีนมากขึ้น มีรสขม หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นดิน กลิ่นอับ หรือกลิ่นสารเคมี นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าไส้กรองหมดอายุและไม่สามารถกรองสิ่งปนเปื้อนได้อีกต่อไป
- เครื่องกรองน้ำปล่อยน้ำออกมาได้ช้ากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะไส้กรองเกิดการอุดตันจากสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำไหลได้ไม่สะดวกอย่างเคย
- มีตะกอน สนิม หรือสิ่งแปลกปลอมเล็ก ๆ ลอยอยู่ในน้ำที่กรองออกมา แสดงว่าไส้กรองเสื่อมสภาพหรือเสียหาย และไม่สามารถทำหน้าที่กรองได้อย่างสมบูรณ์
- มีคราบขาว หรือคราบหินปูนบนภาชนะ เช่น กาต้มน้ำ แสดงว่าไส้กรองเรซินหมดอายุและไม่สามารถดักจับหินปูนได้แล้ว
- ตัวกรองเปลี่ยนสีสำหรับไส้กรองบางชนิด โดยเฉพาะไส้กรองหยาบ (Sediment Filter) จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ เมื่อมีการสะสมของตะกอนและสิ่งสกปรกเป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่งบอกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนไส้กรองแล้ว
- เครื่องกรองน้ำรุ่นใหม่ ๆ มักมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งสัญญาณเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรอง หรือเมื่อไส้กรองใกล้หมดอายุ ขอแนะนำให้ควรตรวจสอบและปฏิบัติตามคำแนะนำของเครื่อง
- หมดอายุการใช้งานตามที่ผู้ผลิตกำหนด แม้ว่าจะยังไม่พบสัญญาณผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตแนะนำเสมอ เพราะประสิทธิภาพการกรองอาจลดลงได้ แม้จะยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน
5 ข้อดีของการเปลี่ยนใส่กรองตามรอบ
การเปลี่ยนไส้กรองน้ำตามกำหนดเวลาที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้น้ำสะอาด แต่ยังมีข้อดีอีกมากมาย อาทิเช่น
- มั่นใจได้ว่าน้ำสะอาดและปลอดภัยสูงสุด เพราะไส้กรองยังคงสามารถกำจัดสารปนเปื้อน แบคทีเรีย ไวรัส คลอรีน และสิ่งสกปรกอื่น ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้รับน้ำดื่มที่บริสุทธิ์และปลอดภัยต่อร่างกายในทุก ๆ วัน
- รักษารสชาติและกลิ่นของน้ำ เนื่องจากไส้กรองที่ทำงานได้ดีจะช่วยขจัดสารที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติไม่พึงประสงค์ในน้ำได้ ทำให้คุณยังคงได้รับน้ำดื่มที่สดชื่น มีรสชาติดี และน่าดื่มอยู่เสมอ
- ยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองน้ำ เพราะเมื่อไส้กรองสะอาดและทำงานได้ดี ไส้กรองตัวถัดไปก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป และตัวเครื่องกรองน้ำเองก็ไม่ต้องรับภาระจากการอุดตันหรือการทำงานผิดปกติ ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบโดยรวมได้
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ถึงแม้การเปลี่ยนไส้กรองจะมีค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการปล่อยให้ไส้กรองหมดอายุ จนอาจทำให้เครื่องกรองน้ำเสียหายหนัก หรือต้องเข้ารับการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากในอนาคต
- ป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต เพราะการดื่มน้ำจากไส้กรองที่หมดอายุอาจทำให้คุณได้รับสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น อาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือการสะสมสารเคมีในร่างกายได้ ดังนั้นการเปลี่ยนไส้กรองจึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพต่าง ๆ เหล่านี้
คำถามที่พบบ่อย
สรุป
การเปลี่ยนไส้กรองน้ำตามกำหนดเวลาที่ผู้ผลิตแนะนำ และการหมั่นสังเกตสัญญาณผิดปกติของน้ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณและครอบครัวได้รับน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยอยู่เสมอ การละเลยการเปลี่ยนไส้กรองอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และลดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องกรองน้ำ จนนำไปสู่การเสื่อมสภาพของเครื่องกรองน้ำเร็วกว่าที่ควรจะเป็นได้ ดังนั้นการลงทุนในการเปลี่ยนไส้กรองจึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีและความคุ้มค่าในระยะยาว
สำหรับเครื่องกรองน้ำ Coway ได้รับการออกแบบมาพร้อมระบบไส้กรองคุณภาพสูง และมีบริการดูแลรักษาที่ครอบคลุม รวมถึงการเปลี่ยนไส้กรองตามรอบกำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าน้ำดื่มจาก Coway จะสะอาด บริสุทธิ์ และปลอดภัยสำหรับการดื่มในทุก ๆ วัน คุณจึงไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถึงรอบเปลี่ยนไส้กรองแล้วหรือยัง ไม่ต้องยุ่งยากกับการหาซื้ออุปกรณ์ไส้กรอง และการติดต่อหาช่างเข้ามาเปลี่ยนไส้กรอกเองอีกต่อไป